ในบรรดาเอสยูวี ขนาดใหญ่ ที่ยังทำตลาดในเมืองไทยขณะนี้ เหลืออยู่ไม่กี่ราย และแต่ละราย ต่างก็พยายามดิ้นรนเพื่อทำตัวเลขยอดขายให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในสภาพเศรษฐกิจ ที่มีทั้งกลุ่มที่มองว่าซบเซา และกลุ่มที่ทำมาค้าขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน อันเป็นสภาพการณ์ที่แปลกไปกว่าที่เคยเป็นมา ยิ่งบรรดาลูกค้าขาประจำมองว่า เอสยูวีเหล่านี้มีขนาดตัวถังใหญ่โต กินน้ำมัน ผู้ผลิตรถยนต์ยิ่งจำเป็นต้องปรับตัว หาทางออกกันอย่างหนักและเครื่องยนต์ดีเซล คอมอนเรล จึงกลายเป็นพระเอกขี่ม้าขาว ที่ช่วยกอบกู้ได้ภาพลักษณ์เรื่องของความประหยัด อันส่งผลต่อเนื่องถึงยอดขาย ให้พอประคองตัวรอดจากปีที่แล้วและปีนี้ไปได้ VOLVOเอง ก็เป็นบริษัทหนึ่งที่ทำตลาด เอสยูวีในไทย ด้วยรุ่น XC90 มานานแล้ว และวันนี้ ถึงเวลาต้องกระตุ้นตลาดเสียที ด้วยการนำขุมพลังดีเซล มาวางลงใน XC90 และเรียกชื่อรุ่นตามอย่างตลาดโลกว่า XC90 D5 VOLVO เปิดตัว XC90 ครั้งแรก ในตลาดโลก เมื่อปลายปี 2003 และส่งเข้ามาทำตลาดในไทยอย่างฉับไว ณ งานบางกอกอินเตอร์เนชันแนล มอเตอร์โชว์ กลางปี 2004 และได้รับยอดสั่งจองเป็นอย่างดียอดขายทำได้เรื่อยๆ ไม่ถึงกับหวือหวา อันเป็นธรรมชาติของเอสยูวี ราคาแพงระดับนี้ ส่วนหนึ่งที่ขายดี เพราะตัวรถมีขนาดใหญ่โต และมีราคา 3 ล้านบาทปลายๆ เมื่อเทียบกับรถนำเข้าจากญี่ปุ่นที่มีขนาดตัวถังเล็กกว่า แต่มีราคาเท่ากัน หรือเมื่อเทียบกับ BMW X5 ที่มีราคากระโดดขึ้นไปถึง 9 ล้านบาทเศษๆเมื่อเจอโครงสร้างการคำนวนภาษีนำเข้า ตามที่เคยเป็นข่าวเมื่อหลายปีก่อน อีกทั้งคุณภาพการประกอบของโรงงาน สวิดิชแอสเซมบลี ริมถนนบางนา-ตราด นั้น ประณีต และมีคุณภาพดีมากๆ งานออกมาค่อนข้างเนี้ยบ เป็นส่วนใหญ่ นั่นทำให้มีลูกค้าบางส่วนตัดสินใจซื้ออย่างง่ายดาย เมื่อ 2 ปีก่อน รุ่น 3.0 ลิตร T6 ซึ่งถือเป็นรุ่นที่แรงที่สุด และไม่ว่าจะมองรถคันนี้ไว้อย่างไรมันก็เป็นเช่นนั้นครบถ้วนไปเสียทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นด้านบวก หรือด้านลบ ทั้งเรื่องความใหญ่โต สวยงามไปจนถึงความนั่งสบาย ความหรูหรา ที่ทำได้ดีสมกับความเป็น VOLVO
แต่เมื่อแลกกับกาสรกินน้ำมันดุเดือดเอาเรื่อง จนค่าน้ำมันผมบานปลายไปไม่น้อย สรุปเอาไว้เพียงว่า ไม่ว่าคุณจะมอง XC90 ไว้อย่างไร จากเดิม ที่เคยมีขาย 2 รุ่น ทั้งรุ่น 2.5 ลิตร และ รุ่น 3.0 ลิตร T6 ไปๆมาๆ ก็ตัดรุ่น 2.5 ลิตร ออกไปเหลือเพียงรุ่น T6 แล้วจู่ๆ ก็แทนที่ด้วยรุ่น 2.5 ลิตร อีกครั้ง ก่อนจะเริ่มแนะนำรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล สู่ตลาด เมื่อปลายเดือนกรกฎาคม 2007 ที่ผ่านมา หมาดๆ พร้อมกับแว่วมาว่า อีกหน่อยจะเหลือเฉพาะรุ่นดีเซล ทำตลาดอย่างเดียวเพราะว่า ออพชันต่างๆ จะเหมือนกันกับรุ่น เบนซินไม่ผิดเพี้ยน แตกต่างกันแค่ขุมพลังและระบบส่งกำลังเท่านั้น การนำเครื่องยนต์ ดีเซล เข้ามาทำตลาด นอกเหนือจากเป็นแผนเดินเครื่องบุกตลาดรถยนต์หรูขุมพลังดีเซลอย่างเต็มตัวแล้ว ยังเป็นช่องทางที่เหมาะสมในการแก้ไขข้อกล่าวหาที่ว่า รถคันโตๆ น่าจะกินน้ำมัน อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นตลาดVOLVO ในเมืองไทย ในระหว่างรอทัพรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่ทะยอยเปิดตัวในเมืองนอกแล้ว ตามเข้ามาประกอบในเมืองไทย ช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ ทั้ง S80 V70 และ XC70 โฉมใหม่ ไปจนถึง C30 ใหม่
ความเปลี่ยนแปลงของ XC90 นั้น มีหลายจุด เริ่มจากภายนอก เปลี่ยนชุดกันชนหน้าใหม่ ให้มีพื้นทีซึ่งมีสีเดียวกับตัวถังเพิ่มขึ้น แถมมีแผ่นรองใต้ท้องรถด้านหน้ามาให้ โดยเผื่อเอาไว้หวังป้องกันการกระทบกระทั่งที่เกิดจากการไต่ขึ้นหรือลงเนินลาดชัน ชุดไฟหน้า แม้จะปรับปรุงแนวไฟเลี้ยวด้านข้าง แต่การวางตำแหน่งของหลอดไฟต่างๆยังคงเเหมือนเดิม หากยกไฟสูง จานฉายจะกระดกขึ้นและลดกลับสู่สภาพปกติ
กระจกมองข้างถูกออกแบบให้เล็กลง แต่ยังคงให้การมองเห็นที่ดีอยู่ สำหรับการขับขี่ในเมือง เพิ่มไฟเลี้ยวมาให้ตามสมัยนิยม คิ้วด้านข้าง และมือจับเปิดประตู พ่นสีเดียวกับตัวถัง ส่วนราวหลังคา เป็นแบบอะลูมีเนียม 
สิ่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า นักออกแบบของ VOLVO เขาใส่ใจแม้รายละเอียดเพียงเล็กน้อย แต่ไม่ยักมีใครสังเกตกันจะอยู่บนหลังคา ด้านหลัง ถ้าอยากมองเห็น ต้องหาทางปีนขึ้นไปดู จะพบแผ่นพลาสติกสีดำ รีไซเคิลได้ แปะเอาไว้บนหลังคา จนเป็นหนึ่งเดียวกับแผ่นเหล็กไปเสียแล้ว แผงพลาสติกนี้ ช่วยไม่ให้เกิดรอยขีดข่วนบนหลังคา ขณะแบกจักรยาน หรือสัมภาระอื่นใดไว้บนหลังคารถนั่นเอง

ส่วนชุดไฟท้าย ก็ปรับปรุงใหม่ ให้มองเห็นได้ชัดเจนในระยะไกล แต่สงสัยว่าจะเหมาะกับประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย ที่เต็มไปด้วยหิมะขาวโพลนมากกว่า เพราะสำหรับกลางค่ำกลางคืน บนท้องถนนใน กทม. แล้วไฟเบรกค่อนข้างจะสว่างจ้าไปหน่อย ไฟเลี้ยวและไฟถอยหลัง จากเดิมเป็นแบบวงรีซ้อนอยู่ในชุดไฟเบรกในรุ่นใหม่ ถูกจัดวางให้เป็นสัดส่วน มีระเบียบมากขึ้น กันชนด้านหลัง ออกแบบขึ้นใหม่ ให้มีพื้นที่ซึ่งพ่นสีเดียวกับตัวรถมากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับกันชนหน้า เพิ่มขนาดของโลโก้ VOLVO ให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม คราวนี้ วอลโวมีสีตัวถังให้เลือกเพียง 4 สีเท่านั้น คือ สีเงิน ดำ เทาตะกั่ว และ ทอง
สำคัญ ยังมีล้ออัลลอยลายใหม่ ออกแบบขึ้นเป็นพิเศษ สลักสัญลักษณ์ไว้ว่า XC บ่งบอกชัดเจนเลยว่าล้ออัลลอยรุ่นนี้ สำหรับ XC90 เท่านั้น ขนาด 8x18x49 นิ้ว พร้อมฝาครอบดุมล้อ ลวดลายโลโก้ใหม่ของวอลโว สวมเข้ากับยาง Continentral Cross contact 235/60 W R18 ที่ส่งเสียงหอนได้หอนดีในหลายๆทางโค้งแต่บางโค้งก็เงียบเอาเสียดื้อๆ ซะอย่างงั้น ยิ่งโดยเฉพาะบนพื้นปูนจอดรถที่สยามพารากอน มันหอนดังสนั่นเสียยิ่งกว่าที่ยางทั่วไปเขาจะหอนดังกันบนพื้นปูนแบบนี้ดังเสียจนผมอายชาวบ้านที่เขาหันมามองจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี เปล่าหรอกครับ รถไมได้แรงเลย ยางมันเสียดสีดังไปหน่อยแหละ
ทั้งหมดนี้ทำให้มิติตัวถัง ยาวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 4,798 เป็น 4,807 มิลลิเมตร กว้างเพิ่มขึ้นจาก 1,898 เป็น 1,909 มิลลิเมตร ความสูงลดลงจาก 1,784 เหลือ 1,781 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,857 มิลลิเมตร เท่าเดิม
ภายในห้องโดยสาร นอกจากจะมีให้เลือกได้ทั้งโทนสีดำ หรือสีเบจ แล้วยังมีรายละเอียดการตกแต่งต่างจากรุ่น T6 เล็กน้อย หากดูผิวเผิน ก็คงไม่ได้สังเกตเห็น เริ่มแรกอยู่ที่วัสดุหุ้มเบาะนั่ง ทั้ง 3 แถว เปลี่ยนมาใช้ หนังแท้แบบนุ่ม ที่เรียกว่าSovereign Hide ที่ให้สัมผัสที่นุ่มดีกว่ารุ่นก่อนนิดหน่อย ไม่ถึงกับเยอะมาก แต่ส่วนใหญ่ ในอดีตที่ผ่านมา วัสดุในรถวอลโวนั้น ตอนออกจากโรงงานใหม่ๆ และใช้ไปไม่นานนัก เรียกได้ว่าจัดอยู่ในเกณฑ์ดี ยกเว้นเสียแต่เมื่อใช้ไปนานๆ บางชิ้นจะเริ่มเสื่อมไปตามกาลเวลาแต่ภาพรวมถือว่ายังรักษาสภาพได้ดีอยู่ เบาะนั่งคู่หน้าปรับระดับด้วยไฟฟ้า มีหน่วยความจำตำแหน่งเบาะนั่ง 3 ตำแหน่ง บริเวณมือจับดึงประตูทั้ง 4 บาน ออกแบบขึ้นใหม่ ใช้พลาสติกสีเงิน
เบาะแถว 2 ยังคงเข้าออกสบายตามประสาเอสยูวีขนาดใหญ่ ด้านหลังของชุด คอนโซลกลาง มีที่วางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง และที่เขี่ยบุหรี่ มาให้ ช่องแอร์ สำหรับผู้โดยสารแถวกลาง ติดตั้งอยู่ที่เสาหลังคาคู่กลาง B-Pillar ทั้งสองฝั่ง ความสะดวกในการเข้าออกจากตัวรถนั้นหากเป็นการเข้าออกเฉพาะแถวสอง ที่ไม่ต้องถึงขั้นปีนขึ้นรถอย่างที่เห็นจากภายนอกถือว่ายังสบายอยู่.......
.....แต่ถ้าจะเข้าสู่เบาะแถว 3 ต้องพับเบาะด้วยการยกคันโยกด้านข้าง รั้งเบาะขึ้นมาข้างหน้าอย่างที่เห็น เพื่อเข้าสู่เบาะแถว 3ซึ่งอาจสร้างความลำบากเล็กน้อย ถ้าสมาชิกตัวน้อยของคุณ มิได้มีหุ่นขนาดน้อยๆ อย่างที่ลูกหลานชาวบ้านชาวช่องเขาเป็นกัน
เบาะนั่งแถวกลางแบ่งพับได้ 40 : 20 : 40 เพื่อเพิ่มพื้นที่ห้องเก็บสัมภาระ นั่งสบาย แม้พนักพิงจะแข็งนิดๆก็ตามแต่ยังถือว่า ไม่แข็งมากเท่าไหร่ ผิดกับคู่แข่งอย่าง เรนจ์ โรเวอร์ สปอร์ต ที่แข็งราวกับเสาหิน สโตน เฮนซ์ ในอังกฤษ ไม่แตกต่างอะไรกั บTOYOTA Yaris เลยด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม เบาะนั่งตอนกลางนั้น มีข้อเสียคือ ตัวพนักพิง เมื่อพับลงมาแล้วไม่สามารถทำตัวเป็นที่วางแขนได้อย่างที่รถคันอื่นเขาทำได้
VOLVOเหมือนจะรู้ว่าตนเองด้อยกว่าเขาในเรื่องนี้ เลยเสริมจุดเด่นมาให้ ชนิดที่คู่แข่งทั่วไปเขาไม่มีให้กันง่ายๆ นั่นคือเบาะรองนั่งตรงกลางยัง
สามารถยกขึ้นเป็นเบาะรองนั่งนิรภัยสำหรับเด็กวัยซน อายุประมาณ 4-8 ปีได้
ส่วนเบาะแถว 3 นั้น ตัวระดับผู้ใหญ่ การก้าวขึ้นไปนั่ง จะลำบากลำบนสักหน่อย ไม่ค่อยสบายเท่ากับLANDROVER ดิสคัฟเวอรี หรือ แม้แต่ FORD เอเวอร์เรสต์ ซึ่งมีทางขึ้นลงที่สะดวกกว่า เนื่องจาก ทั้งคู่ ออกแบบธรณีประตู และบานประตู รวมทั้งรูปลักษณ์ภายนอกเป็นกรอบประตูสี่เหลี่ยม
การปรับเบาะให้เลื่อนพับเก็บนั้น มีหลายขั้นตอน ต้องดึงเบาะรองนั่งเลื่อนเข้าไปเก็บใต้พนักพิงดังในภาพก่อน จากนั้น ดึงหมอนพักศีรษะให้พับลง แล้วจึงดึงคันโยกที่พนักพิง ให้พับลงมา ฟังดูแล้วมึนไหมครับ? แต่เพียงเท่านี้ก็จะได้พื้นที่วางของ และยังมีพื้นที่นั่งโดยสารได้ 5 ที่นั่ง (หากไม่พับเบาะแถวกลางเลยแม้แต่ชิ้นเดียว)หรือ 4 ที่นั่ง (หากพับเบาะแถวกลาง หรือ ซ้าย หรือขวา ชิ้นใดชิ้นหนึ่งลงมา) ก็จะได้พื้นห้องเก็บของที่แบนราบ เพียงพอสำหรับสัมภาระขนาดใหญ่ 
ฝากระโปรงท้าย ยังคงแบ่งออกเป็น 2 ชั้น ชิ้นบน เปิดแบบยกขึ้น ส่วนชิ้นล่าง ไว้เปิดเพื่อการขนย้ายสิ่งของที่มีน้ำหนักมากกว่าปกติแถมยังมีแผ่นรองพื้นกันกระแทก เสริมมาให้เป็นแผ่นเชื่อมระหว่างฝากระโปรงชิ้นล่าง และพื้นห้องเก็บของให้ต่อเนื่องกันด้วย แต่ถ้าไม่ต้องการให้เห็นสิ่งของสัมภาระ ขณะมีผู้โดยสาร 5 คนก็มีชุดแผงปิดบังสัมภาระมาให้ การเคลื่อนย้าย หรือติดตั้งจะมีสลักล็อก ให้ยกอยู่บริเวณปลายสุดของทั้งฝั่งซ้ายและขวานอกจากนี้ ยังมีฝาพลาสติก ที่พื้นห้องเก็บของ เปิดขึ้นมา ตั้งขึ้นได้มีแอ่งขนาดเล็กสำหรับซ่อนสิ่งของบางอย่างที่ต้องการ ช่องแอร์ ไม่ได้มีเฉพาะ ผู้โดยสารแถวกลางเท่านั้นหากแต่ยังมีช่องแอร์ สำหรับผู้โดยสารแถว 3 อีกด้วยตำแหน่งติดตั้ง เหมือนกัน นั่นคือ ที่เสาหลังคา B-Pillar & C-Pillar
ชุดแผงหน้าปัด ยังคงเหมือนเดิม จากรุ่นก่อน เพียงแต่ว่า มีการแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ถ้าภายในเป็นสีดำ Off Black อยู่แล้ว ทุกอย่างก็เหมือนเดิม แต่ถ้าเป็นภายในสีเบจ sandstone ชิ้นบน จะเป็นสีกาแฟ Espresso เพื่อลดภาพสะท้อนจากแดดบนกระจกบังลมให้น้อยที่สุด
ชุดมาตรวัดเปลี่ยนใหม่ มาเป็นแบบ "Watch Dial" ยกชุดมาจาก S60R / S80 Executiveคล้ายกับหน้าปัดนาฬิกาข้อมือแบบโครโนกราฟ แทนที่จะเรืองแสงจากด้านไหน แต่กลับใช้หลอดไฟดวงเล็กๆ 2 ดวง ติดตั้งซ่อนไว้ด้านบนของกรอบเรือนไมล์ส่องไปยังวงแหวนสีเงิน สะท้อนให้เห็นอย่างสวยงามยามค่ำคืน
รวมทั้งยังเพิ่มการประดับตกแต่งด้วยคิ้วโครเมียม ทั้งบนพวงมาลัย สวิชต์ระบบปรับอากาศ แยกฝั่ง ซ้าย-ขวาพร้อมสวิชต์ เปิด-ปิดการทำงานของชุดแอร์ สำหรับเบาะแถวกลางและแถวหลังสุด สวิชต์เปิด-ปิดระบบ เสียงเตือน ของเซ็นเซอร์ บริเวณกันชนหลัง ที่ช่วยกะระยะ ขณะถอยหลังเข้าจอด Park Assist สวิชต์ไฟฟ้า เปิด-ปิดระบบป้องกันเด็กมือซน เปิดประตูเล่นจากภายในรถ ขณะรถกำลังแล่น สวิชต์ พับกระจกมองข้างด้วยไฟฟ้า ซึ่งแทนที่จะอยู่ในบริเวณเดียวกับสวิชต์ปรับกระจกมองข้าง แต่กลับมาอยู่ในตำแหน่งนี้แทน และช่องต่ออุปกรณ์ไฟฟ้าขนาด 12 โวลต์ ทั้งหมดนี้ ติดตั้งอยู่ที่ด้านล่างของแผงควบคุมกลาง ส่วนด้านบน ชุดเครื่องเสียง เปลี่ยนมาเป็นแบบใหม่ 8 ลำโพง 4x40 วัตต์ มีหน้าจอแสดงการทำงานใหม่ สามารถปรับระดับเสียงได้ละเอียดถึงขนาดว่า เลือกปรับได้ ทั้ง อีควอไลเซอร์แถวหน้า หรือแถวหลัง พร้อมซีดี เชนเจอร์ 6 แผ่นในตัว เล่นแผ่น MP3 ได้ ให้คุณภาพเสียงที่จัดอยู่ในเกณฑ์ดีพอ ที่ผู้ขับขี่จะไม่ต้องไปเปลี่ยนชุดเครื่องเสียงใหม่เอง อาจจะด้อยที่เสียงเบสบ้างแต่นั่นก็เพียงนิดเดียวเท่านั้น ส่วนสวิชต์ที่เห็น แม้จะวางตำแหน่งตัวเลขเหมือนสวิชต์โทรศัพท์ติดรถยนต์ ที่เคยมีในรุ่นเดิม แต่รุ่นใหม่นี้ VOLVOถอดระบบโทรศัพท์พร้อมระบบ Small Talk ที่พนักศีรษะฝั่งผู้ขับขี่ รวมทั้งยกชุดหูฟังโทรศัพท์บนคอนโซลกลาง ออกไปแล้ว แต่อย่างน้อยก็ยังมีชุดควบคุมเครื่องเสียง ที่เสาหลังคาทั้งสองฝั่ง พร้อมช่องเสียบหูฟัง เอาใจผู้โดยสารแถวกลาง ที่อยากเปลี่ยนแผ่น เปลี่ยนเพลง แต่เกรงใจคนขับรถกลัวจะโดนพลขับเขม่นเอาระหว่างเดินทาง
รวมทั้งยังมีสวิชต์ ควบคุมการทำงานของเครื่องเสียง ทั้งบนพวงมาลัย ติดตั้งที่ฝั่งขวา (ส่วนฝั่งซ้าย เป็นสวิชต์ ระบบควบคุมความเร็วคงที่ Cruise Control) ส่วน ก้านไฟเลี้ยว ปรับปรุงใหม่ คล้ายกับของ BMW คือ หากต้องการเปลี่ยนเลน เพื่อเร่งแซงแค่กด หรือยกขึ้นเบาๆ ไม่ต้องให้มีเสียง "คลิก" ไฟเลี้ยว ก็จะกระพริบขึ้น 3 ครั้งก่อนจะดับไปเอง พร้อมปุ่ม INFO และ READ กดอ่านและเปลี่ยนหน้าจอข้อมูลแสดงผลบนชุดมาตรวัด ซึ่งแสดงผลได้ทั้งตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงระยะทางที่น้ำมันในถังที่เหลือ จะแล่นต่อไปได้โดยประมาณ ไปจนถึงแจ้งเตือนการเปิด-ปิดระบบควบคุมการทรงตัว DSTCและ แจ้งเตือนประตูปิดไม่สนิท อันเป็นอุปกรณ์ขั้นพื้นฐานที่มีอยู่แล้วใน VOLVO รุ่นใหม่ๆ พักหลังมานี้
สวิชต์เปิดปิดไฟหน้า พร้อมสวิต์เปิด-ปิด ไฟตัดหมอก ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง รวมทั้งชุดสวิชต์เปิดปิดหน้าต่างไฟฟ้าและกุญแจรีโมทคอนโทรล อิมโมบิไลเซอร์ มีมาให้ไม่ต่างจากวอลโวรุ่นอื่นๆจะไม่คุ้นชินอยู่บ้างก็คงจะเป็น เบรกมือ ที่ย้ายมาเป็นเบรกจอด ที่ต้องเหยียบแป้นลงไป พอจะถอน ต้องดึงคันโยกที่เห็นนี้ เสียงตอนที่แป้นเบรกจอดดีดตัวกลับมานั้น ค่อนข้างรุนแรง จนคิดว่า เด็กทารกที่หลับอยู่ อาจร้องไห้จ้าขึ้นมาได้โดยง่าย
กระจกด้านข้างนั้น แม้ว่า จะมีขนาดใหญ่ และมองเห็นได้ชัดเจนดีตามสไตล์ VOLVOแต่นั้น เป็นเพียงเฉพาะช่วงเวลาแดดออก
ถ้ามีระบบไล่ฝ้าที่กระจกมองข้างมาด้วย จะดีกว่านี้ยิ่งกระจกมองข้าง มีการออกแบบให้ มีการหักเหเล็กน้อย เพื่อให้มองเห็นรถด้านข้างในอีกมิติหนึ่งได้ด้วยนั้น

อุปกรณ์ด้านความปลอดภัยที่ติดตั้งมาให้นั้น มีรายการค่อนข้างยาวเฟื้อยแต่ขอเลือกเฉพาะชิ้นสำคัญๆ มาให้ชมกัน VOLVO ยังคงออกแบบโครงสร้างตัีวถังด้านข้างให้มีการกระจายแรงปะทะในแบบ SIPS โดยมี ถังลมนิรภัยมาให้ 6 ใบ ประกอบด้วย คู่หน้า ถุงลมนิรภัยด้านข้าง SIPS Bag 2 ใบ ม่านลมนิรภัยด้านข้าง IC อีก 2 ใบ มีระบบป้องกันการบาดเจ็บของกระดูกต้นคอและหลังที่เกิดจากการสะบัดของศีรษะWHIPS เข็มขัดนิรภัยเป็นแบบ 3 จุด ทั้ง 7 ที่นั่ง โดยเฉพาะคู่หน้าเป็นแบบ ลดแรงปะทะ และดึงกลับอัตโนมัติ Pretensioners มีระบบควบคุมการทรงตัวเมื่อเกิดอาการโคลง RSC รวมทั้งระบบควบคุมเสถียรภาพ และการทรงตัว DSTC เหมือนรุ่นเดิม กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ พร้อมไฟเตือนรัดเข็มขัดนิรภัย SEAT Belt เซ็นเซอร์ใบปัดน้ำฝนหน้า และมีใบปัดน้ำฝนหลังมาให้ตามมาตรฐาน ฯลฯ ส่วนการเข้าออกจากตำแหน่งคนขับและผู้โดยสารนั้นแม้ความสูงของตัวรถจากภายนอกจะหลอกสายตาคุณว่า น่าจะสูงใช่เล่นแต่พอเอาเข้าจริง ไม่ต้องปีนตะกายเป็นสไปเดอร์แมนเพื่อขึ้นรถแต่อย่างใดแค่หันก้น หย่อนลงไปในเบาะนั่ง เท่านั้นก็เรียบร้อย
***รายละเอียดทางวิศวกรรม และผลการทดลองขับ*** ขุมพลังของรุ่น D5 ถ้าดูข้อมูลทางเทคนิคเผินๆ อาจคิดไปว่าเหมือนเป็นการยกมาจาก V70 D5 มาใส่กันดื้อๆ ง่ายๆ อย่างนี้เลยแต่ความจริงแล้ว "ไม่ใช่!" เพราะว่า ขุมพลังนี้ เป็นบล็อกเดียวกันแต่เป็นการปรับปรุงรายละเอียดบางอย่างใหม่ ที่ต่างจาก ใน V70D5 ในหลายๆด้านแม้จะอยู่บนพื้นฐาน เครื่องยนต์ดีเซล 5 สูบ DOHC 20 วาล์ว 2,401 ซีซี ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบคอมมอนเรล ปั้มแรงดันสูง เหมือนกันก็ตามแต่ มีการปรับปรุงรายละเอียดหลายรายการ ทั้งการเปลี่ยน มาใช้หัวฉีดแบบใหม่ ที่มีจำนวน รูฉีดต่อ 1 หัวฉีด มากถึง 7 รู (จากเดิม 5 รู) ทำให้เชื้อเพลิงฉีดจ่ายได้เป็นละอองฝอยมากขึ้น ฉีดได้ละเอียดกว่า ช่วยให้การเผาไหม้ดีขึ้น ท่อไอดี และไอเสียทั้งหมดถูกขยายให้ใหญ่ขึ้น และโค้งมนมากขึ้น เพื่อให้อากาศไหลเข้าสู่ห้องเผาไหม้ได้ดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยระบายไอเสียออกไปได้รวดเร็วขึ้น ควบคุมด้วยระบบลิ้นปีกผีเสื้อไฟฟ้า ที่พัฒนาให้ตอบสนองรวดเร็ว ทันใจ มีการขยายห้องเผาไหม้ให้ใหญ่ขึ้น มีความกว้างกระบอกสูบ x ช่วงชัก 81x 93.2 มิลลิเมตร ลดกำลังอัดลง เหลือ 17.3 : 1 ควบคุมมลพิษโดย ระบบ EGR (Exhaust Gas Recirculation) พร้อมระบบแคตาไลติก คอนเวอร์เตอร์ ที่มีขนาดใหญ่กว่ารุ่นก่อน รวมทั้งยังมีระบบเครื่องกรองเขม่าไอเสีย CDPF (Coated Diesel Particulate Filter) ช่วยลดการปล่อยก๊าซไนโตรเจนออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศลงจากเดิม พร้อม เทอร์โบแรงดันต่ำ LPT (Light Pressure Turbo) รุ่นใหม่ ควบคุมด้วยอีเล็กโทรนิกส์ กำลังสูงสุด 185 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร (40.72 กก.-ม.) ที่ 2,000-2,750 รอบ/นาที เชื่อมด้วย เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ พร้อม Mode บวกลบ และมี Mode W สำหรับออกตัวบนพื้นลื่นๆ ด้วยเกียร์ 3 VOLVO เป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรกในเมืองไทย ที่เชื่อมเครืองยนต์ดีเซล เทอร์โบ เข้ากับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ และติดตั้งเข้ากับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ All-Wheel-DriveInstant Traction ซึ่งใช้แรงดันไฮโดรลิกช่วยในการส่งกำลังจากเครื่องยนต์ ไปยังล้อที่เกาะถนนดีที่สุด เพื่อลดการหมุนฟรีของล้อ ขณะแล่นทางตรงธรรมดา ล้อคู่หน้าจะได้รับแรงบิดจากชุดเกียร์และเครื่องยนต์ มากถึง 95% แต่เมื่อเร่งเครื่องกระทันหัน หรือเข้าโค้งแคบๆแรงบิดจะถูกถ่ายเทไปยังล้อหลังตามความจำเป็น ในระดับ 50%เพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อการหลุดออกจากโค้ง เสริมด้วยระบบควบคุมเสถียรภาพ DSTC (Dynamic Stability and Traction Control) 
ผมชอบเครื่องยนต์ ดีเซล ที่เชื่อมกับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะชุดนี้มากที่สุด เพราะนอกจากจะให้อัตราเร่งที่ดีแล้ว ยังให้ความประหยัดเป็นเยี่ยม และยิ่งสำหรับรถที่มีน้ำหนักตัวเปล่าๆ ที่หนักราวๆ 2,117 กิโลกรัม อย่างนี้ด้วยแล้ว แรงดึงในขณะออกตัว และในช่วงของการไต่ความเร็วที่เกียร์ 2 ยังคงน่าประทับใจอยู่เช่นเดิม การตอบสนองของคันเร่งไฟฟ้าใน VOLVO ก็ยังคงเป็นคันเร่งไฟฟ้า ในแบบที่รถยนต์จากประเทศผู้ซึ่งเจริญแล้วในฝั่งยุโรปเขาเป็นกัน กล่าวคือตอบสนองได้ไว แต่ยังคงเหลืออาการ Lack นิดเดียว ไม่นานเหมือนกับลิ้นปีกผีเสื้อไฟฟ้าของ TOYOTA ทั้งCamry ViosและYaris ที่เมื่อกดคันเร่งจนสุดแล้ว เจ้าตัวเค้าจะขอคิดก่อนสัก 1 วินาทีว่าเค้าควรจะทำตัวอย่างไรต่อไปกับชีวิตเค้า จากนั้นถึงจะพารถพุ่งโจนทะยานออกไป อันเป็นบุคลิกของลิ้นเร่งไฟฟ้าสที่ตอบสนองช้าเกินการ และวิศวกรญี่ปุ่นเองดูเหมือนยังไม่ยอมแก้ซะที ระบบกันสะเทือนหน้า แม็คเฟอร์สันสตรัต ด้านหลังแบบ มัลติลิงค์ ไม่ได้แตกต่างอะไรจากรุ่นอื่นๆ ในตัวถัง XC90 นี้แต่อย่างใด คือยังคงให้ความนุ่มนวล แต่หนักแน่นและมั่นใจได้ในการเดินทาง ไม่ว่าจะบนทางเรียบ หรือทางไม่เรียบ ยิ่งโดยเฉพาะช่วงโค้งตัว S โดยปกติแล้ว กับรถประเภทเอสยูวีนั้น ผมจะใช้ความเร็วประมาณ 70 -75 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในโค้งนี้ และต้องเหยียบเบรกลึกๆ ก่อนหมดโค้งซึ่งเป็นสัญญาณไฟจราจรXC90 D5 สามารถพาผมเข้าโค้ง 2 จังหวะนี้ ด้วยความเร็วประมาณ 70 กิโลเมตร/ชั่วโมงซึ่งถือว่าสูงมากจนเข้าใกล้ขีดจำกัดของตัวรถคันนี้ ได้อย่างสบายๆ และไม่มีปัญหาอะไรแต่ถ้าได้ยางที่มีการยึดเกาะถนนที่ดีกว่านี้ ผมว่า อาจทะได้ดียิ่งกว่านี้สักเล็กน้อย แต่คงไม่มีทางเกิน 80 กิโลเมตชั่วโมงไปแน่ๆ

สำหรับรถที่มีจุดศูนย์ถ่วงค่อนข้างสูงอย่างนี้ระบบควบคุมการทรงตัวเมื่อตัวรถเกิดอาการโคลง RSC (Roll Stability Control) จับอาการเมื่อรถมีการโคลงตัวมากกว่าปกติ ระบบจะพยายามดึงรถให้กลับสู่เสถียรภาพโดยเร็ว ทำงานร่วมกับระบบควบคุมการทรงตัวเมื่อลื่นไถล DSTC (Dynamic Stability and Traction Control)ที่จะตัดการส่งจ่ายเชื้อเพลิง และเพิ่มแรงเบรกไปยังล้อที่จำเป็นต้องใช้ในภาวะคับขัน เช่นเข้าโค้งด้วยความเร็วมากเกินไปสักหน่อย คล้ายๆกันกับระบบ VSCในTOYOTA หรือ ESP ของบ็อช นั่นละครับ ดิสก์เบรก 4 ล้อ พร้อม ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD และระบบเพิ่มแรงเบรกในภาวะฉุกเฉินEBA (Electronics Break Assist) จานเบรกหน้ามีขนาด 13.2 นิ้ว ส่วนจานหลังมีขนาด 12.1 นิ้วตอบสนองหนักแน่น แต่นุ่มนวล นุ่มเท้า และมั่นใจได้ดีเช่นเคยการจับตัวของแป้นเบรก ยังคงเหมือนกับรุ่นก่อน คือค่อยๆจับตัวไปตามแรงเหยียบที่แป้นเบรกกดเบา แป้นเบรกก็จับตัวพองาม พอกดลึกๆ ก็จับตัวแน่นขึ้นตามสไตล์รถยุโรปที่ดี ที่พึงเป็นกัน

สรุป***SUV คันใหญ่ ที่เป็นทุกสิ่ง อย่างที่คุณคิด เสริมความประหยัดมากกว่าที่คิด แต่พวงมาลัย เบาไปสักนิด วันนี้ ด้วยขุมพลังใหม่ ดีเซล คอมมอนเรล พร้อมเทอร์โบแรงดันต่ำแรงไม่หนีกันมากนัก ด้อยกว่ากันนิดนึง ว่ากันตามตัวเลขแ่ต่ประหยัดได้น่าตกใจมากเพราะเทียบตัวเลขได้พอๆกับ NISSAN TIDA 1.6 ลิตร เลยด้วยซ้ำประหยัดกว่า VIOS Yaris Jass Cityเสียอีก(ถ้าเราดูกันแต่ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิง ที่บริโภคกัน เพียงอย่างเดียว โดยไม่ได้มองว่ามันเป็นน้ำมันประเภทใด)ช่วยลบจุดอ่อนที่สำคัญของเจ้ายักษ์รุ่นนี้ ลงไปได้อย่างชัดเจน และยิ่งมีอุปกรณ์สาธารณูปโภคในห้องโดยสาร ที่ไม่ต่างอะไรจากรุ่นเบนซินแล้วคุณจะยอมจ่ายแพงกว่า จาก 3,745,000 บาท ในรุ่นเบนซิน 2.5 ลิตร มาเป็น 3,800,000 บาท ในรุ่นดีเซลอีกไหมละ?ถ้าผมจะบอกว่าคุณจะได้ความประหยัดเพิ่มขึ้น ถึง 1 เท่าตัวเลยทีเดียว เงินส่วนต่างนั้น น่าคิดไม่ใช่เล่นเลย